Aug 17, 2013

อ่านละครวันนี้เรี่อง กุหลาบไฟ ตอนที่ 10 วันที่ 18 august 2013


 ธิดารัตน์อาการดีขึ้น เธอนอนหลับอยู่ในห้องพักฟื้นลำพัง สุทธิพงษ์เข็นรถเข็นตัวเองเข้ามาเยี่ยม เขาวางดอกไม้ที่จัดช่อเองไว้ข้างๆเธอ มองใบหน้าเธอด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวเอ่ยปากทั้งที่ตายังหลับว่ากว่าจะมาเยี่ยมได้...ทำเอาสุทธิพงษ์ผงะตกใจ

แทนที่ธิดารัตน์จะต่อว่า กลับถามเขาบาดเจ็บตรงไหนบ้าง สุทธิพงษ์ซาบซึ้งแต่ก็รู้สึกตัวเองแย่ลงไปอีก เพราะเป็นตัวการทำให้เธอเป็นแบบนี้ แม้เธอจะปลอบว่า เธออยากไปเที่ยวด้วย อย่าโทษตัวเอง ต้องรับผิดชอบร่วมกัน...สุทธิพงษ์ใจชื้นขึ้น เขาช่วยป้อนข้าวให้ธิดารัตน์


กมลาเดินมากับพันธ์พงษ์ กำลังบ่นเรื่องกลัวเครื่องเพชรของวงทองที่อยู่ในบ้านหาย พันธ์พงษ์อ่อนใจถามภรรยาห่วงแม่หรือทรัพย์สินกันแน่ กมลาค้อนขวับ... พอเข้ามาในห้องเห็นสุทธิพงษ์กำลังเช็ดปากให้ธิดารัตน์ ก็โวยวายยกใหญ่ ธิดารัตน์พยายามบอกว่าสุทธิพงษ์เป็นเพื่อน

“พงษ์ อ๋อ ไอ้พงษ์คนนี้น่ะเหรอ ที่ละเมอเพ้อหาตลอดเนี่ย แกเองใช่มั้ยที่พาลูกสาวฉันหนีออกจากบ้านไปเที่ยวกลางคืน พาไปมั่วยามาเนี่ย ฉันอยากเจอแกมานานแล้ว ไอ้เด็กนรก” กมลาถลาเข้าทุบตี สุทธิพงษ์ได้แต่ปัดป้อง
ธิดารัตน์ร้องห้าม พันธ์พงษ์ลากภรรยาออกมาเตือนว่าเด็กยังบาดเจ็บ กมลาไม่ยอมจะแจ้งความจับเข้าตะราง ธิดารัตน์ให้สุทธิพงษ์กลับห้องไปก่อน เขาเข็นรถตัวเองออกไป กมลาตามด่า พันธ์พงษ์ต้องปรามให้เกรงใจคนอื่นในโรงพยาบาลบ้าง จึงยอมรามือ...สุทธิพงษ์เสียใจ รู้สึกว่าตัวเองแย่มากไม่คู่ควรกับธิดารัตน์เอาเสียเลย

ooooooo

ในขณะที่ไศลาวิ่งกระเซอะกระเซิงออกมาจากโรงแรม เธอคิดว่าต้องหาที่เก็บกล่องไม้โบราณใหม่เพราะถ้าเอาไว้กับตัวเองไม่ปลอดภัยแน่

ระหว่างนั้น ธีรธรจอดรถอยู่หน้าโรงพยาบาล ใจเขาพะวงถึงไศลา แต่พอมาที่ห้องพักเห็นชูชิตซึ่งหน้าตาบอบช้ำออกมาจากห้องไศลา เพราะพยาบาลบอกว่า เธอออกจากโรงพยาบาลไปตั้งแต่เมื่อคืน ธีรธรประจันหน้ากับชูชิต ต่างเห็นใบหน้าบอบช้ำของกันและกัน ทำให้ธีรธรเอะใจว่าคนร้ายเมื่อคืนอาจจะเป็นชูชิต

ธีรธรเลยมาที่ห้องธิดารัตน์ กมลาโวยวายเรื่องสุทธิพงษ์ให้เขาจัดการลากตัวเข้าคุก ธิดารัตน์แย้งเพื่อนตนไม่ผิด ยืนยันว่าตนเป็นคนให้เขาพาเที่ยวเพราะอยากรู้ว่าสถานที่แบบนั้นเป็นอย่างไร พันธ์พงษ์ดึงกมลาออกไปจากห้องเพื่อให้ลูกได้พักผ่อน ธิดารัตน์ขอร้องธีรธรอย่าจับสุทธิพงษ์ เขาบอกให้หลานสบายใจได้ ตนให้โอกาสคนเสมอ

ขณะที่ธีรธรผิดหวังไม่ได้พบไศลา เขาขับรถออกจากลานจอดรถโรงพยาบาล ทันใด ต้องเบรกกะทันหันเพราะไศลามายืนขวางหน้ารถ แล้วเธอก็เดินมาเปิดประตูเข้ามาในรถ

“ฉันรู้ว่าเราไม่ควรเจอกันบ่อยนัก แต่ฉันมีเรื่องให้คุณช่วย”

“นี่คุณไปทำอะไรมา ทำไมสภาพคุณเป็นแบบนี้”

ไศลาไม่ตอบ กลับขอร้องให้ธีรธรรับปากจะช่วย ชายหนุ่มตอบว่าตนยินดีช่วยทุกอย่าง ไม่เห็นต้องถาม ไศลามอบกล่องไม้โบราณให้เขาดูแลและรักษามันไว้เท่าชีวิตของเขา มีคนต้องการมันมาก ตนไม่ต้องการให้ใครรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ขอให้เก็บเป็นความลับระหว่างเรา

ไศลาจะลงจากรถ ธีระธรคว้ามือไว้ “คุณขอผมตั้งเยอะ จะไม่มีข้อแลกเปลี่ยนให้บ้างเหรอ เดี๋ยววันอาทิตย์คุณก็ไปเสี่ยงอีก งานของเราจะมีวันพรุ่งนี้อีกแค่ไหนก็ไม่รู้ ผมขอคุณแค่อย่างเดียวเอง คุณจะให้ผมได้ไหม”

“อะไรคะ...”

“ผมขอความสุขจากคุณแค่...วันเดียวที่เราจะอยู่ด้วยกัน ไม่มีเรื่องคนอื่น แล้วพอหมดวัน ผมจะปล่อยคุณไปอยู่ในโลกของคุณที่มี...คนอื่น”

“แค่วันเดียว...แล้วฉันต้องทำอะไรบ้างคะ”

ธีรธรดีใจที่ไศลารับปาก

ooooooo

ส่วนนาถสุดาเดินทางเข้าป่า สภาพเธอทรุดโทรมลง แต่ไม่ย่อท้อที่จะตามหาอาจารย์ของไศลา เธอร้องเรียกเมฆาไปทั่วป่า จนกระทั่งมาถึงริมน้ำตก เธอ ร้องเรียกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย นักพรตเมฆาปรากฏตัวขึ้นด้านหลังนาถสุดา เอ่ยถามมีธุระอะไรกับตน

นาถสุดาหันกลับมาเห็นถึงกับผงะ “ท่านคือเมฆา เคลื่อนไหวเบาดุจเมฆสินะ”

นักพรตไม่แปลกใจเพราะรู้ว่าเธอคงรู้มาจากโยคีศิลาดำ นาถสุดาไม่รอช้า ขอตำราหน้าสุดท้ายจากเขา หญิงสาวปฏิเสธ เธอมาเองเพราะมีความจำเป็นต้องใช้ ตำรานั่น นักพรตดักคอว่าความจำเป็นของเธอ ดูเหมือนจะเป็นความรัก เธอแปลกใจที่เขารู้ นักพรตตอบยิ้มๆ ว่า เธอแสดงออกทางแววตาและพลังที่ส่งออกมา นาถสุดาจึงยอมรับว่าจะชุบชีวิตคนรัก

“เจ้ามีความตั้งใจจะฝืนกฎธรรมชาติงั้นหรือ”

“ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายกับใคร แต่ใครขวาง ฉันก็ไม่ไว้ชีวิตเหมือนกัน”

“เจ้ายอมให้คนอื่นสังเวยชีวิตเพื่อคนรักของเจ้า... งั้นเจ้าอาจต้องใช้ชีวิตข้าเป็นเครื่องบรรณาการนั้นด้วย เพราะข้าไม่ยอมให้ตำรานั้นตกไปอยู่กับคนที่ใช้มันในทางที่ไม่ถูกหรอก”

นาถสุดาก็ไม่ยอม นักพรตจึงให้ฆ่าตนเสียก่อน ทั้งสองเริ่มต่อสู้กัน นักพรตหลอกให้นาถสุดาเข้าใจว่าเธอปล่อยพลังลูกไฟมาเผาตำรามอดไหม้ไปหมด เธอร้องไห้โฮ นักพรตกล่าว

“ทุกอย่างบนโลกนี้ เมื่อถึงเวลาของมัน มันต้องสลายไป ไม่มีอะไรอยู่ยืนยงหรอก”

นาถสุดาโวย “ท่านเอาตำราคืนมาเดี๋ยวนี้นะ เสกมันกลับมาสิ มีอำนาจวิเศษไม่ใช่เหรอ”

นักพรตพยายามบอกให้นาถสุดาเชื่อว่า ทุกอย่างไม่มีจริงเป็นแค่สิ่งสมมติ เธอไม่เข้าใจ

“ข้าอยากจะบอกเจ้าว่า คนรักของเจ้าน่ะ เขาหมดเวลาของเขา อย่าไปฝืนอะไรที่มันต้องเป็นไป สุดท้ายยังไงทุกอย่างก็ต้องสูญสลาย”

“ไม่ต้องธรรมะกับฉัน ฉันอยากได้ตำราคืน เอาอันใหม่มาสิ” นักพรตตอบว่าไม่มี นาถสุดาไม่เชื่อ “ไม่จริง ของมีค่าขนาดนี้ไหม้ไป ทำไมท่านไม่เดือดร้อนล่ะ มันต้องมีอีกใช่ไหม”

“ทุกอย่างไม่มีอยู่จริงอยู่แล้ว แค่สิ่งสมมติ ข้าไม่มีตำราที่เจ้าตามหาตั้งแต่แรก เจ้าคิดเองทั้งนั้นว่าข้ามี เจ้าคิดเองทั้งนั้นว่ากระดาษนั่นสำคัญ เจ้าคิดเองทั้งนั้นว่าสิ่งที่เจ้ากอดเจ้ายึดครองด้วยความรักมันยังมีตัวตน”

“ไม่มีตำรา แล้วมันอยู่ไหน” นาถสุดาเริ่มร้องไห้

“ข้าก็ไม่รู้ อาจารย์ของข้าไม่เคยบอกข้าแม้ซักคำ”

“แล้วที่ฉันเสียเวลามาที่นี่ล่ะ ที่เสียแรงสู้กับท่าน ฉันไม่ได้อะไรมาเลยได้ยังไง”

“เจ้าเข้ามาที่นี่ด้วยตัวเปล่า เจ้าก็ควรกลับออกไปด้วยตัวเปล่า” นักพรตเมฆขาวเลือนหายไป

นาถสุดาทรุดลงร้องไห้สะอึกสะอื้นกับความผิดหวังของตน...เธอซมซานกลับมาทิ้ง ตัวลงนอนข้างศพเทพที่โรงแรม ร้องไห้รำพันปลอบเทพอย่าท้อ ตนจะต้องหาตำรานั้นมาให้ได้

ooooooo

ธีรธรกับไศลานัดเจอกันที่สวนสาธารณะ ไศลาแต่งตัวสวยหวานจนธีรธรเอ่ยปากชม สองคนจูงมือกันเดินชมดอกไม้ ให้อาหารปลา ธีรธรเผลอเอาเข้าปาก ไศลาขำ ต่างฝ่ายต่างแอบมองเหมือนอยากจดจำกันไว้ ไศลาแปลกใจทำไมถึงพามาเที่ยวสถานที่แบบนี้ทั้งที่เป็นวันพิเศษ

“คุณไม่ชอบเหรอ ผมว่าดีกว่าเดินห้าง แล้วก็ดินเนอร์ร้านหรูๆ อีกนะ”

“ก็น่ารักดีค่ะ”

“เวลาผมมีเรื่องไม่สบายใจ ผมก็จะมาทำแบบนี้แหละ...แล้วเวลาคุณไม่สบายใจล่ะ คุณทำอะไร”

ไศลาย้อนถามอยากรู้จริงหรือ ธีรธรพยักหน้า หญิงสาวพาเขาซื้อกับข้าวมากมายมาบ้านตัวเอง ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอรักบ้านและครอบครัวมาก ทั้งสองจูงมือกันเดินเข้าบ้าน...สองคนช่วยกันทำกับข้าวอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งนั่งร่วมโต๊ะอาหารพร้อมรับประทาน

“ผมไม่เคยเห็นคุณมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย คุณคงชอบทำสิ่งนี้มากสินะ”

“ตอนเด็กๆ แม่สอนฉันทำกับข้าว ทุกครั้งที่ฉันได้ทำกับข้าวให้น้องๆ กินพร้อมหน้า ฉันจะรู้สึกเหมือนมีแม่มาอยู่ด้วย”

ธีรธรขอชิมอาหาร แล้วเขาก็ชมว่า เธอไม่ควรไปทำอาชีพเสี่ยงๆ น่าจะเปิดร้านอาหาร

“จริงเหรอคะ คุณจะหุ้นกับฉันใช่ไหม”

“อย่าพูดเล่นนะ” ธีรธรหลงดีใจ หญิงสาวตอบทันควันว่า พูดเล่น
....................................................
พิมพ์จากหนังสือ ประโลมโลกละครไทย  

0 comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.